ในปัจจุบันวิตามินอีได้รับ ความนิยมมากว่าเป็นวิตามินช่วย ชะลอความแก่หรือช่วยให้เป็นหนุ่ม เป็นสาว บ้างก็ว่าช่วยรักษาอาการ เป็นหมันในผู้ชายเพิ่มสมรรถภาพ ทางเพศ ช่วยรักษาโรคหัวใจหรือแม้ แต่ช่วยลดกลิ่นตัว มีการโฆษณา สรรพคุณกันมากจนมีคนยอมเสีย เงินหาซื้อมารับประทานมากมาย สรรพคุณต่างๆเหล่านี้ยังไม่อาจ พิสูจน์ความจริงได้ทั้งสิ้น
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบวิตามินอี โดยสกัดจากน้ำมันจมูกข้าวสาลี ได้ในปี พ.ศ. 2465 และได้ชื่อว่าโทโคฟีรอล ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษากรีก ที่แปลว่าลูก หน้าที่สำคัญของวิตามินอีในร่างกายคือเป็นตัวป้องกัน การเติมออกซิเจน เป็นสารป้องกันไม่ให้ออกซิเจนเข้าไปทำลายโมเลกุล ของไขมันไม่อิ่มตัว วิตามินเอ แคโรทีนและวิตามินซี ไขมันไม่อิ่มตัวนี้จะเป็น ของเหลวและไม่เป็นไข จึงมีประโยชน์เพราะไม่เกาะผนังของเส้นเลือด ไม่สร้างคอเลสเทอรอลและช่วยขับคอเลสเทอรอลด้วย วิตามินอีจึงสำคัญ และจำเป็นต่อร่างกาย อย่างไรก็ตามไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่าคนที่สุขภาพปกติ ซึ่งมีการดูดซึมอาหารได้ดีจะขาดวิตามินอี ทั้งนี้เนื่องจากวิตามินอีมีอยู่ ในอาหารมากมายหลายชนิด และร่างกายสามารถเก็บสะสมวิตามินอี ไว้ในเนื้อเยื่อของร่างกายได้มาก โดยเฉพาะเนื้อเยื่อไขมัน จึงทำให้ไม่เกิด อาการขาดวิตามินอี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับเป็นเวลานานก็ตาม อาการขาด วิตามินอีจะพบเฉพาะในทารกที่คลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักตัวต่ำกว่า ปกติ ซึ่งการดูดซึมไขมันจะลดลงจึงไม่สามารถใช้วิตามินอีได้ ทำให้ ออกซิเจนเข้าไปทำลายไขมันไม่อิ่มตัวบริเวณผนังเซลล์เม็ดเลือดแดง เป็นผลให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย เกิดภาวะโลหิตจาง
ความต้องการวิตามินอีของคนมากน้อยตามขนาดของร่างกาย สำหรับผู้ใหญ่ต้องการวันละ 8-10 มิลลิกรัม หญิงในระยะตั้งครรภ์ต้องการ เพิ่มขึ้นอีกวันละ 2 มิลลิกรัม และหญิงที่ให้นมลูกต้องการเพิ่มขึ้นอีกวันละ 3 มิลลิกรัม เด็กทารกควรได้รับวันละ 3 มิลลิกรัม ซึ่งถ้าเลี้ยงด้วยนมแม่ ก็จะได้รับอย่างเพียงพอ ความต้องการของเด็กจะเพิ่มขึ้นตามขนาดตัว จนถึง 8 มิลลิกรัม เมื่ออายุ 13-15 ปี ถ้ากินอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวมากขึ้น ความต้องการวิตามินอีจะเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากอาหารประเภทนี้ก็มี วิตามินอีอยู่มากแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกินวิตามินอีเพิ่มอีก
อาการเป็นพิษเนื่องจากได้รับวิตามินอีมากเกินไปเท่าที่มีรายงาน กับสัตว์ทดลองคือ อาการเวียนหัว ท้องเสีย แต่ไม่เคยพบอาการเป็นพิษ ในคนเลย ถ้าได้รับไม่ถึงวันละ 450 มิลลิกรัม (300 หน่วยสากล) ก็ไม่เป็นอันตราย อาหารที่มีวิตามินอีมากคือ น้ำมันพืช ข้าวต่างๆ พืชผักสีเขียว ไข่แดง ไขมันนม เนย ตับ ถั่วต่างๆ อาหารหลักห้าหมู่ มีวิตามินอีเกินความต้องการของทุกคน
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบวิตามินอี โดยสกัดจากน้ำมันจมูกข้าวสาลี ได้ในปี พ.ศ. 2465 และได้ชื่อว่าโทโคฟีรอล ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษากรีก ที่แปลว่าลูก หน้าที่สำคัญของวิตามินอีในร่างกายคือเป็นตัวป้องกัน การเติมออกซิเจน เป็นสารป้องกันไม่ให้ออกซิเจนเข้าไปทำลายโมเลกุล ของไขมันไม่อิ่มตัว วิตามินเอ แคโรทีนและวิตามินซี ไขมันไม่อิ่มตัวนี้จะเป็น ของเหลวและไม่เป็นไข จึงมีประโยชน์เพราะไม่เกาะผนังของเส้นเลือด ไม่สร้างคอเลสเทอรอลและช่วยขับคอเลสเทอรอลด้วย วิตามินอีจึงสำคัญ และจำเป็นต่อร่างกาย อย่างไรก็ตามไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่าคนที่สุขภาพปกติ ซึ่งมีการดูดซึมอาหารได้ดีจะขาดวิตามินอี ทั้งนี้เนื่องจากวิตามินอีมีอยู่ ในอาหารมากมายหลายชนิด และร่างกายสามารถเก็บสะสมวิตามินอี ไว้ในเนื้อเยื่อของร่างกายได้มาก โดยเฉพาะเนื้อเยื่อไขมัน จึงทำให้ไม่เกิด อาการขาดวิตามินอี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับเป็นเวลานานก็ตาม อาการขาด วิตามินอีจะพบเฉพาะในทารกที่คลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักตัวต่ำกว่า ปกติ ซึ่งการดูดซึมไขมันจะลดลงจึงไม่สามารถใช้วิตามินอีได้ ทำให้ ออกซิเจนเข้าไปทำลายไขมันไม่อิ่มตัวบริเวณผนังเซลล์เม็ดเลือดแดง เป็นผลให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย เกิดภาวะโลหิตจาง
ความต้องการวิตามินอีของคนมากน้อยตามขนาดของร่างกาย สำหรับผู้ใหญ่ต้องการวันละ 8-10 มิลลิกรัม หญิงในระยะตั้งครรภ์ต้องการ เพิ่มขึ้นอีกวันละ 2 มิลลิกรัม และหญิงที่ให้นมลูกต้องการเพิ่มขึ้นอีกวันละ 3 มิลลิกรัม เด็กทารกควรได้รับวันละ 3 มิลลิกรัม ซึ่งถ้าเลี้ยงด้วยนมแม่ ก็จะได้รับอย่างเพียงพอ ความต้องการของเด็กจะเพิ่มขึ้นตามขนาดตัว จนถึง 8 มิลลิกรัม เมื่ออายุ 13-15 ปี ถ้ากินอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวมากขึ้น ความต้องการวิตามินอีจะเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากอาหารประเภทนี้ก็มี วิตามินอีอยู่มากแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกินวิตามินอีเพิ่มอีก
อาการเป็นพิษเนื่องจากได้รับวิตามินอีมากเกินไปเท่าที่มีรายงาน กับสัตว์ทดลองคือ อาการเวียนหัว ท้องเสีย แต่ไม่เคยพบอาการเป็นพิษ ในคนเลย ถ้าได้รับไม่ถึงวันละ 450 มิลลิกรัม (300 หน่วยสากล) ก็ไม่เป็นอันตราย อาหารที่มีวิตามินอีมากคือ น้ำมันพืช ข้าวต่างๆ พืชผักสีเขียว ไข่แดง ไขมันนม เนย ตับ ถั่วต่างๆ อาหารหลักห้าหมู่ มีวิตามินอีเกินความต้องการของทุกคน